แอร์อึด ถึกทน ประหยัดพลังงาน
ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวและฝุ่นมลพิษนอกบ้าน เป็นเหตุให้หลาย ๆ บ้านจำเป็นต้องพึ่งพาความเย็นจากแอร์ เพราะแค่เพียงกดปุ่มเปิดบนรีโมทคอนโทรล ก็สามารถเปลี่ยนอากาศร้อนอบอ้าวให้กลายเป็นอากาศหนาวเย็นอยู่สบายได้โดยทันที โดยเฉลี่ยแอร์บ้านแต่ละเครื่องจะถูกเปิดใช้งานต่อเนื่องยาวนาน ประมาณ 8-14 ชั่วโมง/วัน การเลือกซื้อแอร์ที่ ถึก ทน พร้อมกับช่วยให้ประหยัดค่าไฟจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ใช้งานควรทราบ เพื่อที่จะได้เตรียมความพร้อมและเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกซื้อ
สเปค BTU แอร์ ต่ำเกินการใช้งาน
BTU คือหน่วยวัดชนิดหนึ่งที่เป็นมาตรฐานหลักในการใช้ร่วมกับแอร์ BTU ยิ่งตัวเลขมาก ยิ่งมีศักยภาพในการทำความเย็นมากขึ้น แต่การเลือก BTU นั้น จำเป็นต้องดูความเหมาะสมของพื้นที่ใช้งานเป็นหลักครับ เช่น ห้องขนาดเล็ก 4×3.5 เมตร หรือ 14 ตร.ม. เลือกแอร์ที่มี BTU ประมาณ 12,000 Btu/h ก็เพียงพอ แต่หากห้องใหญ่ 8×4 เมตร หรือ 32 ตร.ม. จำเป็นต้องเลือกแอร์ที่มี Btu/h สูงขึ้น มิเช่นนั้นจะส่งผลให้แอร์ทำงานหนัก ไม่สามารถกระจายความเย็นได้ทั่วทั้งห้องและเป็นต้นเหตุสำคัญให้เปลืองค่าไฟรวมทั้งแอร์พังไวกว่าปกติด้วยครับ ขนาดห้องและ BTU แอร์ จึงจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กัน โดยอ้างอิงจากสูตร Btu/h = พื้นที่ใช้สอย x 750 – 1,200 (โดยขึ้นอยู่กับพื้นที่และลักษณะในการใช้งาน)
ตัวอย่าง คำนวณค่า Btu/hห้องนั่งเล่นทั่วไป กว้าง 5 x 6 เมตร ค่า BTU = (5×6) x 800 = 24,000 BTU |
ท่อน้ำยาแอร์ยาวเกินไป
ระยะห่างระหว่างแอร์ภายในบ้าน กับคอมเพรสเซอร์แอร์ มีผลกับการทำความเย็นและอายุการใช้งานแอร์ครับ ยิ่งห่างมากความยาวของท่อยิ่งมาก นอกจากจะเสียค่าท่อมากขึ้นแล้ว คอมเพรสเซอร์แอร์ซึ่งทำหน้าที่อัดแรงดันน้ำยาแอร์ ต้องทำงานหนักขึ้นเพราะต้องเพิ่มแรงดัน ส่งผลให้แอร์เย็นช้าและทำงานหนัก เป็นต้นเหตุของการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามากกว่าปกติ และในที่สุดคอมเพรสเซอร์แอร์จะเสื่อมสภาพไวกว่าปกติด้วยครับ
ระยะความห่างที่เหมาะสมนั้น ไม่สามารถตอบเป็นตัวเลขแบบชัดเจนได้ จำเป็นต้องดูข้อมูลแอร์แต่ละรุ่นประกอบ โดยจะมีบอกในคู่มืออย่างละเอียด อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยแล้วไม่ควรเกิน 10-15 เมตร กรณีเดินท่อในแนวนอน และไม่เกิน 5 เมตร กรณีเดินท่อในแนวตั้งครับ
ติดตั้งแอร์ใกล้ความชื้น
ตำแหน่งในการติดตั้งแอร์ที่ดี ไม่ควรอยู่ใกล้ที่ชื้น เนื่องด้วยแอร์มีหน้าที่หลักในการกำจัดความชื้นเพื่อก่อให้เกิดความเย็น หากแอร์อยู่ใกล้ความชื้นมาก ๆ เช่น ห้องน้ำ แหล่งน้ำ ย่อมส่งผลให้แอร์ทำงานหนักขึ้น เพราะต้องคอยกำจัดความชื้นตลอดเวลา และการติดตั้งควรเว้นระยะห่างระหว่างแอร์กับฝ้าเพดานประมาณ 15-20 cm เป็นระยะห่างที่เหมาะสม ซึ่งเว้นไว้เพื่อให้เครื่องสามารถดูดอากาศเข้าทางด้านบนและจ่ายลมออกมาทางด้านหน้านอกจากตำแหน่งในการติดตั้งแอร์แล้ว ห้องใด ๆ ที่ใช้แอร์ ควรออกแบบห้องให้มีความโปร่ง อากาศถ่ายเทได้ดี ห้องต้องไม่อับชื้น เพราะความชื้นรวมภายในห้อง ส่งผลให้แอร์ทำงานหนักเช่นกันครับ
คอมเพรสเซอร์แอร์วางผิดตำแหน่ง
โดยปกติคอมเพรสเซอร์แอร์หรือคอยล์ร้อนทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ มีการผลิตให้รองรับกับสภาพอากาศภายนอก ทนแดด ทนฝน อย่างไรก็ตามหากต้องการยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น ในขั้นตอนออกแบบบ้าน สถาปนิกควรออกแบบตำแหน่งติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์โดยเฉพาะ โดยให้คอมเพรสเซอร์แอร์ห่างจากผนังบ้านประมาณ 10 cm และบริเวณหน้าคอมเพรสเซอร์ไม่ควรมีสิ่งใดมาบดบัง ประมาณ 60-80 cm จัดวางในตำแหน่งไม่โดนฝนสาดง่าย ไม่โดนแสงแดดโดยตรงตลอดทั้งวัน กรณีวางบนพื้นระเบียง ควรให้สูงกว่าพื้นประมาณ 10 cm เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง
ไฟตก ไฟกระชาก
ปัญหาไฟตก ไฟดับ ไฟกระชาก เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะบางพื้นที่ ซึ่งหากพื้นที่ไหนมีปัญหาก็จะมีปัญหาดังกล่าวซ้ำซากตลอดเวลา บ้านเก่าของผู้เขียนเช่นกันครับ เกิดปัญหาไฟตกบ่อยครั้ง เพียงแค่มีลมพัดแรง ๆ ก็ส่งผลให้ไฟตกได้แล้ว ปัญหาไฟตกจำเป็นต้องให้การไฟฟ้ามาแก้ปัญหา ส่วนผู้ใช้ทำได้เพียงป้องกันไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเสียหาย ซึ่งหากเป็นแอร์รุ่นใหม่จากแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ จะมีแผงวงจรเพื่อป้องกันผลกระทบจากไฟกระชากแล้วครับ และบางรุ่นมีการพัฒนาไปถึง เมื่อเกิดไฟดับแอร์จะจดจำค่าต่าง ๆ ไว้ หลังจากไฟติดแอร์จะกลับมาทำงานต่อจากเดิมตามปกติ การเลือกซื้อแอร์ในแบรนด์ที่เชื่อถือได้ มีแผงวงจรการป้องกันและฟังก์ชันต่าง ๆ มารองรับ จึงเป็นตัวเลือกที่สำคัญในการตัดสินใจซื้อ
ทั้ง 5 ข้อนี้ ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้แอร์พังไว กินไฟมาก หากผู้ใช้ปรับเปลี่ยนการใช้งานตามคำแนะนำ จะช่วยยืดอายุให้แอร์บ้าน อึด ทน และประหยัดค่าไฟมากกว่าเดิม นอกจากคำแนะนำข้างต้นนี้แล้ว การตั้งอุณหภูมิแอร์ให้พอเหมาะพอดี 25-27 องศา จะช่วยให้ประหยัดค่าไฟยิ่งขึ้น และหากให้สมบูรณ์ที่สุด ควรออกแบบบ้านให้สามารถป้องกันความร้อนจากภายนอกได้ จะช่วยลดภาระการทำงานหนักของเครื่องปรับอากาศภายในบ้านซึ่งจะมีผลกับค่าไฟแอร์โดยตรงครับ
Mitsubishi Heavy Duty
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา Mitsubishi Heavy Duty เปิดตัวสินค้าเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ล่าสุด Standard Inverter – YW Series ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์แบบเฮฟวี่ตามสโลแกน เย็นเร็ว ทนทาน ประหยัดไฟ เปิดต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี มาพร้อมกับ 6 คุณสมบัติเด่น ดังนี้ครับ
- Jetflow : การออกแบบระบบจ่ายลมด้วยเทคโนโลยีเดียวกับใบพัดในเครื่องยนต์เจ็ท ทำให้สามารถส่งลมไปได้ในระยะไกล
- High Power : การทำงานแบบพลังสูงเครื่องทำงานต่อเนื่องในโหมดพลังสูงเป็นเวลา 15 นาที ช่วยให้ได้อุณหภูมิตามที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
- 24 Hour ION : ฟังก์ชันที่ทำให้อากาศสดชื่นเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยการปล่อยประจุลบตลอด 24 ชั่วโมง จากสารทัวมาลีนซึ่งเคลือบไว้ใต้ช่องจ่ายลม
- Self Clean Operation : คอยล์เย็นแห้งเพื่อยับยั้งการเติบโตของเชื้อรา โดยพัดลมจะทำงานในรอบต่ำเพื่อเป่าลมไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็นเป็นเวลา 2 ชั่วโมงหลังจากปิดเครื่อง
- Inverter : เย็นฉ่ำและประหยัดสุด ๆ เปิดทั้งวันก็จ่ายค่าไฟแค่น
ิ๊ดเดียว เพราะใช้ Inverter แท้ทั้งระบบ 4 ชิ้นส่วน ประกอบด้วย แผงวงจรอัจฉริยะ PAM ทำหน้าที่ควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้พลังงาน, คอมเพรสเซอร์กระแสตรง DC สามารถปรับเปลี่ยนความเร็วรอบในการทำงานให้สัมพันธ์กับอุณหภูมิในห้อง ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น,วาล์วอิเล็ครอนิกส์ EEV ช่วยควบคุมอัตราการไหลของสารทำความเย็นให้วงจรสารทำความเย็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด และมอเตอร์กระแสตรง ที่มีความแม่นยำในการควบคุมความเร็วรอบ เปลี่ยนแปลงความเร็วรอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ - มีการเคลือบ Epoxy เพื่อป้องกันการกัดกร่อนจากสภาพความเป็นกรด/ด่าง แผงวงจรเคลือบ Silicone ป้องกันได้ทั้งความชื้นและแมลงไม่ให้เข้าเครื่องได้ ทุกรุ่นใช้คอยล์ทองแดง 100% และใช้ท่อทองแดงทั้งระบบ ป้องกันต่อการกัดกร่อนโดยเฉพาะในพื้นที่ติดทะเล ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า และหากเกิดไฟตก หรือไฟกระชาก เครื่องปรับอากาศจะสามารถทนต่อแรงดันไฟกระชา
กได้สูงสุดถึง 470 โวลต